วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 20, 2560

สต๊าร์ทอัพ ๔.๐ ปีหน้าอย่าหวัง "กะอีแค่ผลิตรถแมงกะไซ เรายังผลิตไม่ได้เลย”

พวก คสช.นี่ไม่รู้ผิด ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้ตัวกันเลยนะ กะอีแค่ตรรกะเบื้องต้น เหตุผลพื้นๆ ก็ยังไม่สำนึกถึง นี่ถ้าไม่มาด้วยอาวุธก็คงไม่มีใครสักคนให้การยอมรับและเชื่อถือ ไม่ว่าที่ไหนๆ ในโยเดีย พะกาน หรือวังเวียง

ไล่ตั้งแต่หัวลงไปได้เลย เมื่อวันก่อน ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดกับคณะผู้บริหารโครงการกำจัดของเสีย หมายจะแสดงโวหาร สร้าง ‘narrative’ โยงใยไปเข้าเรื่อง ขยะในใจของสาธารณะชน อ้างเป็นเหตุแห่งความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของตน

“ตัดพ้อแก้ปัญหามา ๓ ปี แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ กล่าวหาว่าเศรษฐกิจตกต่ำ เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มต่างๆ”


ขณะที่เศรษฐกิจตกต่ำเป็นสัจจธรรมร่วมสมัยที่คนจำนวนมากได้เผชิญกันมากยิ่งขึ้นทุกวันในขณะนี้ รัฐบาล คสช. ของประยุทธ์อยู่มาเกินสามปีแล้วยังทำอะไรให้ดีขึ้นไม่ได้ ประยุทธ์กลับหาว่าการบ่นถึงความลำบากยากไร้ เป็นขยะในใจของพวกเขาไปเสียฉิบ

ดูจากรายงานสืบสอบภาวะเศรษฐกิจโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจที่นำเสนอเมื่อสองวันก่อน พบว่าทั้งๆ ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรของรัฐ อ้างว่าเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ๑๕ เปอร์เซ็นต์ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. ๒๕๖๐

พอเข้าครึ่งปีหลัง (ซึ่งจะต่อเนื่องกับไตรมาสแรกของปีหน้า) กลับพบว่า ราคาสินค้าเกษตรากันดิ่งลงเหวเกือบทั้งแผง ข้าว มันสัมปะหลัง ยางแผ่น สับปะรด ปาล์มน้ำมัน มังคุด

จะมีแต่ข้าวโพดที่กระเตื้องกลับขึ้นมาทรงตัวได้ เพราะเป็นผลิตผลผูกขาดของอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ ที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ในโครงการประชารัฐของ คสช. ซึ่งก็ตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง “เอื้อประโยชน์”

กรณีข้าว กระทรวงพาณิชย์ยังหามาตรการใหม่ไม่เจอ ก็เลยใช้วีแก้ไขแบบเดิมๆ ที่ทำให้ราคาข้าวลดต่อเนื่องมาจนกระทั่งวันนี้

มันเส้นราคาลดฮวบเป็นอีกปัญหาที่ยังหาทางแก้ไม่ได้ เพราะเกิดจากปัจจัยภายนอก “ผู้ส่งออกมันเส้นที่เป็นนอมินีของบริษัทจีน เข้าไปแข่งขันขายมันเส้นในราคาต่ำ แล้วมากดราคารับซื้อภายในประเทศ”

เรื่องมันนี้กรมการค้าต่างประเทศช่วยได้แค่ “ระกาศเพิ่มมาตรการการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยการให้ผู้ประกอบการนำเข้าต้องแจ้งวัตถุประสงค์การนำเข้า”


ตานี้พอราคาพืชผลเกษตรตกฮวบ ก็ส่งผลกระทบไปถึง กำลังซื้อศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของธนาคารไทยพาณิชย์เตือนภัย

กำลังซื้อภาคครัวเรือนชะลอตัว จากรายได้เกษตรกรที่มีแนวโน้มลดลงตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และรายได้นอกภาคเกษตรที่ไม่ได้ถูกปรับขึ้น เพราะตลาดแรงงานยังไม่ฟื้นตัว กระทบการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีรายน้อยและปานกลางที่มีภาระหนี้ครัวเรือนสูงอยู่แล้ว

ผลต่อไปก็คือ เมื่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นแบบแคระแกร็น ชาวบ้านไม่มีกำลังซื้อ พวกนายทุนเจ้าของกิจการใหญ่ รวมทั้งทุนย่อยซึ่งทำมาหากินด้วยการใช้เงินต่อเงิน ก็ไม่สามารถอยู่นิ่งให้กำไรหดได้ ต้องไปหาแหล่งลงทุนใหม่ๆ นอกบ้าน

เงินทุนไทยถึงไหลออกนอกประเทศเป็นว่าเล่นไง

แต่กระนั้นธนาคารไทยพาณิชย์ก็ยังมองเห็นแสงสว่างแจ่มจรัสที่ชายขอบกะลาครอบ ท่ามกลาง “กำลังซื้อชะลอตัว การส่งออกไม่ได้เติบโตสูงเหมือนครึ่งปีแรก” เชื่อว่า

แรงหนุนจากการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากงบกลางปีของภาครัฐ" เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจแบบ คสช. กลับตาลปัตรมาเป็น ขาขึ้น ได้ในปีหน้า

แต่ว่าจะขึ้นแค่ ๐.๑ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเท่านั้นนะ จากที่คาดหมายไว้เดิม ๓.๓% ขอปรับใหม่เป็น ๓.๔%


ใกล้ๆ สิ้นปีอาจปรับอีกทีเป็น ๓.๕ ก็ได้นะ เพราะจะเป็นจริงเท่าไรไม่รู้แน่ (แค่คาดหวัง) แต่ธนาคารโลกเขาคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าได้แค่ ๓ เปอร์เซ็นต์ถ้วนๆ น่ะ

เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเพราะลุงตูบคนเก่งจะนำรัฐไทยไปสู่ ๔.๐ ในไม่ช้า วิธีการทำอย่างไรทั้งลิ่วล้อและลูกไล่ของทั่นเตรียมไว้หมด ไหนจะสต๊าร์ทอัพ ๔.๐ เอย พลเมือง ๔.๐ เอย เชื่อ คสช. สิเดี๋ยวมาเอง
ส่วนไอ้ที่รัฐมนตรีศึกษา ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ บอกกับ บลูมเบิร์กว่า “คุณฝันไปหรือ” ที่จะให้การใช้ความคิดสร้างสรรค์ (อันต้องมาคู่กับสต๊าร์ทอัพ) เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของความเจริญทางเศรษฐกิจน่ะนะ

“กะอีแค่ผลิตรถแมงกะไซ เรายังผลิตไม่ได้เลย” (ขออภัยใช้ภาษา วิน ปากซอย คำของบลูมเบิร์กเขาใช้ motorbike)


สิ่งที่บลูมเบิร์กพยายามเสนอจากการสัมภาษณ์คนในวงการศึกษาและร้านหนังสือ ว่าฝันเฟื่อง (หรือแค่วาทกรรม บลา บลา ก็ไม่รู้) ของ คสช. ที่จะแก้หน้าว่ายึดอำนาจมาสามปีจะมีกึ๋นตอนปีที่สี่ ด้วยการขับเคลื่อนเทคโนโลยี่นั้น เห็นทีจะยาก (มากเสียด้วย)

เพราะจากระบบการศึกษาไทยล้าหลัง (เอาแต่ให้ท่องจำ ขนาดห้ามเด็กใช้สม้าร์ทโฟนในห้องเรียน ห้ามถ่ายภาพ ให้จดอย่างเดียว) แล้ว วิธีการคิดของเด็กไทยถูกแช่แข็งไว้แค่ท่องจำตามหลักสูตรที่พวกหัวโบราณในกระทรวงศึกษากำหนด และครูสั่งให้อ่าน

เหมือนอย่างที่ ดร. Pavin Chachavalpongpun แห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต เขียนเอาไว้บนเฟชบุ๊ค ยังไงยังงั้น

นักศึกษาญี่ปุ่นของผมทันสมัย เวลาผมเขียนอะไรเยอะๆ บนกระดาน พวกเค้าจะถ่ายรูปไว้ในมือถือของเค้า นี่ไม่นับว่าผมได้ส่ง powerpoints ให้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ครับ และส่วนหนึ่งยังบันทึกเสียงผมไว้ด้วย ผมเคยถามว่า บันทึกไปทำไม เค้าบอกเอาไว้ฟังหลายๆ รอบ โดยเฉพาะตอนนั่งรถไฟมามหาลัย จะทำให้เข้าใจได้มากขึ้น

...มีแต่ไอ้ไดโนเสาร์เต่าล้านปีในไทย ที่ยังใช้วิธีสอนสมัยยุคหิน ให้นักศึกษาท่องเป็นวรรคเป็นเวร ไม่ได้สอนให้เข้าใจ แต่สอนให้จำ พอสอบผ่าน นักศึกษาก็ลืมกันหมด นี่มันเป็นวิธีเรียนของพวกทหาร ผมเคยได้รับเชิญให้ไปสอน จปร. ที่นครนายก โอ้มายก๊อดส์ สอนทหารเหมือนสอนเด็กประถม จะให้ป้อนความรู้เข้าปากอย่างเดียว

...เอาคนประเภทนี้มาปฏิรูปการศึกษาของเยาวชน สงสารอนาคตของชาติจริงๆ”

Panutat Tejasen เจ้าของกิจการพัฒนาซ้อฟแวร์บอกกับบลูมเบิร์กเช่นกันว่า วีธีการสอนแบบโบราณ บวกกับขาดวิธีคิดโดยวิพากษ์วิจารณ์ เป็นปัญหาในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

Natavudh Pungcharoenpong เจ้าของ ‘Ookbee’ คลังหนังสืออี-บุ๊ค ที่มีสมาชิกกว่า ๘ ล้านคนทั่วเอเซียอาคเนย์ ชี้ว่า “มีธุรกิจใหม่ๆ ที่วิธีคิดแบบล้าหลังของพวกผู้มีอำนาจ ไม่สามารถจะนำมาใช้ขับเคลื่อนได้”

แค่นี้ยังไม่พอทำให้ประยุทธ์ แอนด์เดอะแก็งยอมรับความจริงอีกหรือว่า ที่พล่ามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นมีคนรู้ทันเยอะแยะ ว่าพวกทั่นก็ท่องจำเอามาพูด

 
ส่วนจะเอาแต่เรียกตัวนักวิชาการที่ท้วงติงไปคุย (เหมือนอย่างเพิ่งทำกับสามคนที่ไปร่วมสัมมนานานาชาติที่เชียงใหม่) หรือเอาตัวนักศึกษา-นักกิจกรรมไปกักขัง (บ้างแกล้งลืมแบบที่ทำกับ ไผ่ ดาวดิน) นั้น

นอกจากไม่ทำให้ คสช. ดูดีได้แล้ว ยังทำให้ประเทศชาติ เสียของ อย่างแน่นอน