วันอาทิตย์, กรกฎาคม 09, 2560

คำให้การพยานจำเลยคดีจำนำข้าว "ควรแก่การย้ำจำ เผื่อว่าจะใช้เป็นบรรทัดฐานเทียบความกับคำตัดสินที่จะออกมา"

ชีพ จุลมนต์ ว่าที่ประธานศาลฎีกาคนต่อไป
การไต่สวนพยานจำเลยคดีจำนำข้าวที่ศาลฏีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ซึ่งมีนายชีพ จุลมนต์ ว่าที่ประธานศาลฎีกาคนต่อไปเป็นเจ้าของคดีนั้น

มีรายละเอียดควรแก่การย้ำจำ เผื่อว่าจะใช้เป็นบรรทัดฐานเทียบความกับคำตัดสินที่จะออกมา ไม่ช้าก็เร็วก่อนสิ้นปี หรือก่อนจะสิ้นปีงบประมาณในวันที่ ๓๐ กันยายน เพื่อไม่ให้คดีค้างคา

ในเมื่อนายชีพยังมีคดีการเมืองที่เอาเรื่องต่อรัฐบาลในเครือข่ายทักษิณ อยู่อีกสองสามคดี ดังที่ รุ่งโรจน์ วรรณศูทร เอ่ยถึงไว้

นายชีพ ยังเป็นองค์คณะในคดีระบายข้าวแบบจีทูจี ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ที่ ๑ และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ ๒ กับพวก อีก ๑๙ ราย ร่วมกันเป็นจำเลยรวม ๒๑ ราย ฐานทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ที่เหลือการไต่สวนพยานจำเลยอีกสองนัดเช่นเดียวกับคดียิ่งลักษณ์เช่นกัน

รวมทั้งยังเป็นองค์คณะในคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ๗ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่มีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พี่เขย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลย ที่ศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าวในวันที่ ๒สิงหาคมนี้ด้วย”


นายสุรชัย ศรีสารคาม อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก พยานปากแรกเบิกความสรุปว่า การรับจำนำข้าวเป็นกฎเกณฑ์จากส่วนกลาง และการดำเนินโครงการก็อยู่ในเกณฑ์ทั้งหมด ซึ่งจังหวัดตนก็ผ่านการประเมินจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยไม่มีปัญหาการรับจำนำข้าวที่ทำให้ภาพรวมเสียหาย...

โดยการขึ้นทะเบียนชาวนามีประชาคมทำหน้าที่ตรวจสอบ ว่าเป็นเกษตรกรทำนาจริงหรือไม่ มีพื้นที่นาเท่าไหร่ ส่วนการรับจำนำมีผู้ตรวจสอบและออกใบประทวน จ่ายเงินตรงให้เกษตรกร การเก็บข้าวในโกดังยังมีเจ้าหน้าที่ถือกุญแจคนละดอกไม่ให้มีการสับเปลี่ยนข้าว หากมีการสวมสิทธิสามารถตรวจสอบพบได้ง่าย

การรับจำนำข้าวเป็นการชุบชีวิตชาวนาให้มีเงินจับจ่าย เศรษฐกิจฐานรากหมุนเวียน มีชีวิตดีขึ้น”

สำคัญกว่านั้นคำให้การของข้าราชการประจำผู้ปฏิบัติ ที่ไม่มีส่วนผูกพันกับการออกนโยบายผู้นี้ ยังได้สำทับความรู้สึกของผู้สนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ว่า คสช. พยายามเค้นคอเพื่อเอาผิดผู้ต้องหาให้จงได้ ดังที่

“เมื่ออัยการถามถึงกรณีที่คณะกรรมการชุด มล.ปนัดดา ดิศกุล ตรวจสอบข้าวแล้วมีผลการประเมินว่าข้าวเสื่อม นายสุรชัยกล่าวว่า มล.ปนัดดากำหนดมาตรฐานขึ้นมาเอง แทนที่จะใช้มาตรฐานกระทรวงพาณิชย์

ซึ่งมีข้อสงสัยถึงการสุ่มตัวอย่างที่ใช้กลุ่มเล็กมาประเมินภาพรวม ผู้ตรวจสอบก็ไม่มีความชำนาญเพราะใช้ทหารตรวจ และยังมีการนำข้าวดีไปประมูลเป็นอาหารสัตว์ น่าจะมีการตรวจสอบใหม่ให้ชัดเจนต่อไป เพราะต่างจากผลการประเมินของ ก.พ.ร. ที่เชื่อถือได้”


นอกเหนือจากนั้น คำให้การของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ และ รมว. พาณิชย์ เมื่ออัยการโจทก์กล่าวถึงการรับจำนำข้าวราคาสูงกว่าตลาด เหตุใดจึงไม่ปรับให้สมดุล เขาตอบว่า

“โครงการรับจำนำข้าวรัฐบาลคิดขึ้นมาโดยมีการศึกษาจากหลายกลุ่มแล้ว ต้องกำหนดราคาให้เหมาะสม ที่ผ่านมาชาวนามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ดี รัฐบาลเก่าๆ เคยตั้งราคารับจำนำต่ำกว่าราคาตลาด ไม่ได้ช่วยชาวนา เราจึงตั้งให้ราคาเหมาะสมคุ้มทุนมากขึ้น โดยตั้งราคาสูงกว่า”

ส่วนกรณีที่เป็นข้อกล่าวหารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ยอมฟังข้อแนะนำของสำนักงาน ปปช. และ สตง. ให้ระงับโครงการรับจำนำข้าวนั้น นายนิวัฒน์ธำรงชี้แจงว่า “การระงับยับยั้งโครงการต้องทำในกรณีที่จำเป็น

(ในเมื่อ) ทุกฝ่ายสนับสนุนโครงการมาโดยตลอด ผลสำรวจต่างๆ บอกว่าโครงการดี มีประโยชน์ต่อชาวนาและเศรษฐกิจของประเทศ ไม่มีเหตุผลสั่งยกเลิก สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ยังบอกว่าให้ดำเนินต่อถึงปี ๒๕๕๘”


เป็นข้อต่อสู้ของฝ่ายจำเลยที่คณะผู้พิพากษาน่าที่จะให้คุณค่าทางข้อมูล มากกว่าความรู้สึกแห่งแวดวงตุลาการที่ดูเหมือนว่าจะร้อยหวายอยู่กับค่านิยมชนชั้น คนดีมาก่อน คนเก่งจึงมองเห็นนักการเมืองในฝ่ายระบอบทักษิณและเครือข่ายชินวัตรในทางร้ายไว้ก่อน ขณะที่พรรคฟากตรงข้ามละก็ อะไรดีหมด


อีกไม่นานเกินรอก็จะได้เห็นผลงานเจ้าของคดี อันจะเป็นมาตรวัดท่าทีของประธานศาลฎีกาคนต่อไป ว่าจะเปิดทางให้คนเก่งได้เผยอหน้ามาเทียบข้างคนดีบ้างไหม